เรียนต่อขนตา พร้อมการเลือกทรงให้เข้ากับลุค ในสมัยก่อนจะยังไม่มีการต่อขนตาจะมีแต่การติดขนตาปลอมที่ใช้ขนตาปลอมและกาวติดที่ขนตาและยังไม่มีแบบขนตาเยอะเท่าสมัยนี้ การต่อขนตามีทั้งการเรียนต่อขนตาและสอนต่อขนตาเยอะมากในปัจจุบันการต่อขนตาเหมาะสำหรับผู้มีขนตาน้อย ขนตาสั้นหรือไม่มีปัญหาด้านใดเลยก็สามารถต่อขนตาได้เหมือนกัน การต่อขนตา คือ การนำขนตาปลอมไปติดที่ขนตาจริงแต่ละเส้น หรือติดทีละช่อ จะทำให้มีขนตาที่หนาและยาวมากขึ้น ซึ่งความหนาบาง หรือขนาดความยาวจะขึ้นอยู่กับรูปแบบขนตาที่แต่ละคนสนใจ ไม่ว่าจะเป็น สไตล์ธรรมชาติ หรือจัดเต็มฟูหนาสไตล์สายฝอ สำผรับช่างที่ต่อขนตาให้ลูกค้าควรจะให้คำปรึกษาเลือกการต่อขนตาให้เข้ากับลูกค้า เริ่มต้นด้วยการปรึกษาหารือกับลูกค้าเพื่อทำความเข้าใจความชอบและความคาดหวังของพวกเขา ถามเกี่ยวกับลุคขนตาที่ต้องการ ไม่ว่าพวกเขาจะชอบลุคธรรมชาติหรือลุคเร้าใจ และพวกเขามีความกังวลหรืออาการแพ้เป็นพิเศษหรือไม่ ประเมินรูปร่างตาของลูกค้า สไตล์ขนตาที่แตกต่างกันสามารถเสริมหรือปรับสมดุลรูปร่างของดวงตาได้ ตัวอย่างเช่น สไตล์ตาแมวหรือแบบปีกสามารถทำให้ดวงตากลมยาวได้ ในขณะที่รูปแบบตาตุ๊กตาสามารถทำให้ดวงตาที่ลึกลงไปดูเปิดกว้างมากขึ้น พิจารณาความโค้งงอนของขนตาที่ลูกค้าต้องการ การต่อขนตามีหลายลอน เช่น ลอน J, B, C และ D เลือกลอนฉันที่เหมาะกับขนตาธรรมชาติของลูกค้าและให้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
-ต่อขนตาแบบเส้นต่อเส้น คือ ขนตาจริง 1 เส้น ต่อขนตาปลอม 1 เส้น รูปแบบการต่อแบบนี้จะให้ขนตาที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
-ต่อขนตา2Dแบบขนตาจริง 1 เส้น ต่อขนตาปลอม 1 ช่อ (2 เส้น) ซึ่งจะทำให้ได้ขนตาที่ดูยังมีความเป็นธรรมชาติแต่จะดูหนากว่าการต่อขนตาเส้นต่อเส้น
-ต่อขนตาวอลลุ่ม เป็นการต่อขนตาจริง 1 เส้น ต่อขนตาปลอม 1 ช่อใหญ่ (3-5 เส้น) สำหรับการต่อขนตารูปแบบนี้จะช่วยให้ขนตาดูหนา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลุคแน่น จัดเต็ม ดูเซ็กซี่
-ต่อขนตาไฮบริด เป็นการต่อขนตาแบบผสมระหว่าง การต่อขนตาเส้นต่อเส้น และ การต่อขนตาแบบวอลลุ่ม โดยต่อขนตาแบบเส้นต่อเส้น สลับกับการต่อขนตาแบบช่อ ช่วยให้ดวงตาดูคมชัด และดูมีมิติมากขึ้น
หลีกเลี่ยงการโดนน้ำ ไอน้ำ หรือความร้อนสูงเกินไปในช่วง 24-48 ชั่วโมง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำช่างเพื่อให้ขนตาอยู่ทนนาน